อาการไอเรื้อรังในเด็ก

Last updated: 13 ก.ย. 2566  |  329 จำนวนผู้เข้าชม  | 

อาการไอเรื้อรังในเด็ก

อาการไอเรื้อรังในเด็ก

อาการแบบไหนเรียกว่า “ไอเรื้อรัง”
      การไอ เป็นกลไกทางร่างกายอันหนึ่งในการป้องกันตนเอง หรือ กำจัดสิ่งแปลกปลอมจากร่างกาย เช่น กำจัดเสมหะ เพื่อพยายามรักษาตนเองให้แข็งแรง ให้หายใจได้สะดวกขึ้น แต่ว่าถ้าลูก หรือ เด็ก ๆ มี          อาการไอนานหลายสัปดาห์ก็ยังไม่หาย อาจเรียกว่า “ไอเรื้อรัง”
ไอเรื้อรัง จะมีอาการไอต่อเนื่องยาวนานถึง 1 เดือน หรือ 3-4 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งระยะเวลาค่อนข้างนานมาก ก็คงจำเป็นที่จะต้องพาลูกไปหาคุณหมอ หรือหาสาเหตุที่ทำให้เด็กมีอาการไอเรื้อรัง

สาเหตุของอาการไอเรื้อรัง
     สาเหตุของอาการไอเรื้อรังสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ

  • เกิดจากการติดเชื้อโรค สามารถแพร่กระจายเชื้อให้คนใกล้ชิดได้  เช่น ติดเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อวัณโรค ที่จมูก หลอดลม โพรงไซนัส ปอด ทำให้เกิดอาการไอขึ้น
  • อาการไอเรื้อรังที่ไม่ได้มาจากการติดเชื้อ อาจมาจากหลายปัจจัย เช่น เด็กเป็นภูมิแพ้โพรงจมูก  โรคหืด กรดไหลย้อน  มีสิ่งแปลกปลอมค้างอยู่ในทางเดินหายใจ โรคหัวใจบางชนิด หรือเกิดจากผลข้างเคียงของยา รวมไปถึงหลอดลมไวต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในบ้านและนอกบ้าน 

การรักษาอาการไอเรื้อรังในเด็ก
      การรักษาอาการไอเรื้อรัง จำเป็นต้องทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดการไอ ซึ่งหลังจากซักประวัติและตรวจอย่างละเอียด แพทย์จะทราบสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้ไอ ให้การการรักษาอย่างตรงจุดและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้อาการไอเรื้อรังนั้นหมดไป การดูแลอาการประคับประคอง โดยปกติจะหายภายใน 1 ถึง 3 สัปดาห์ (ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรง) 

การดูแลเด็กที่มีอาการไอเรื้อรัง

  • ให้เด็กรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์และเหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารแห้ง กรอบ อาหารทอดหรืออบกรอบ
  • ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำในอุณหภูมิปกติ เลี่ยงการดื่มน้ำเย็น 
  • ให้เด็กออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที
  • ให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 ชั่วโมง
  • เลือกอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีอากาศถ่ายเท หลีกเลี่ยงให้ห่างไกลสถานที่ที่มีสารเคมี ควัน และมลพิษ

การป้องกันไม่ให้ เด็กไอเรื้อรัง
     การที่น้ำมูกและเสมหะไหลลงหลอดลมเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เด็กไอ ดังนั้นควรล้างจมูกเพื่อไม่ให้มีน้ำมูกตกค้างในโพรงจมูกจะได้ไม่กระตุ้นอาการไอ นอกจากนั้นควรใช้ยาควบคุมอาการอย่างสม่ำเสมอ รู้จักหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เพื่อไม่ให้อาการกำเริบขึ้นมาอีก

การล้างจมูกทำอย่างไรบ้าง
     - ในเด็กเล็กใช้น้ำเกลือ 1-2 หยด หยดลงในจมูกทีละข้างขณะนอนตะแคงหน้า โดยจับหน้าให้นิ่งน้ำเกลือจะไหลทำให้น้ำมูกไม่เหนียวและไหลลงไปได้เอง ถ้ามีน้ำมูกมากอาจใช้ลูกยางแดงเบอร์ 0-1 ช่วยดูดน้ำมูกโดยใส่ในรูจมูกลึกประมาณ 1-1.5 ซม. บางรายอาจต้องใส่ลึกถึง 3-4 ซม. แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง
     - ในเด็กโตถ้าน้ำมูกไม่มากนัก ให้ทำขณะนั่ง โดยแหงนหน้าเล็กน้อย ใช้น้ำเกลือหยดเข้าจมูกข้างละ  3-4 หยด ทิ้งไว้สักครู่แล้วก้มหน้าสั่งน้ำมูก ทำซ้ำหลายครั้งจนสะอาด แล้วจึงทำอีกข้างที่เหลือแต่ถ้าน้ำมูกมีปริมาณมากแนะนำให้ใช้หลอดฉีดยา ขนาด 10 ซีซี (ไม่ใส่เข็ม) ดูดน้ำเกลือครั้งละ 5-10 ซีซี ค่อย ๆ ฉีดเข้าในรูจมูก ขณะก้มหน้า และมีภาชนะรองรับ ไม่จำเป็นต้องฉีดแรง จะพบน้ำมูกไหลตามออกมา จากนั้นให้สั่งน้ำมูก แล้วทำซ้ำหลาย ๆ ครั้งในแต่ละข้างจนสะอาด ควรทำบ่อย ๆ อย่างน้อยเมื่อตื่นนอนตอนเช้า และก่อนเข้านอน ช่วงกลางวันถ้าแน่นจมูกหรือน้ำมูกมากก็ควรทำซ้ำอีก

การล้างจมูกบ่อยๆ อันตรายหรือไม่
      ส่วนมากคุณพ่อคุณแม่รวมทั้งตัวเด็กจะบอกตรงกันว่าสบายขึ้นและโล่งจมูก นอนได้ดีขึ้น ไม่ไอ รับประทานนมและอาหารได้ สำหรับเด็กเล็ก การดูดน้ำมูกต้องทำด้วยความนุ่มนวลและจับหน้าให้นิ่ง เด็กโตไม่จำเป็นต้องสั่งน้ำมูกรุนแรง แต่ให้อ้าปาก สั่งน้ำมูกเบาๆ สามารถทำได้หลาย ๆ ครั้ง จนกว่าล้างจมูกแล้วไม่มีน้ำมูกออกมา น้ำเกลือที่ใช้มีสัดส่วนใกล้เคียงกับสารในร่างกาย จึงไม่มีอันตราย ถ้ากลืนลงคอไปบ้างก็ไม่มีอันตรายเช่นเดียวกัน
      หากเด็กมีอาการไอติดต่อกัน ไอแม้ในขณะนอน รบกวนชีวิตประจำวัน ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด อย่าปล่อยเรื้อรังไว้นาน เด็กจะได้เรียนรู้และพักผ่อนได้อย่างเต็มที่

อ้างอิง : https://www.vibhavadi.com/Health-expert/detail/9

อ้างอิง : https://www.samitivejhospitals.com/

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้